X
เปิดใจป้ามล 4 ปัจจัยสู่สำเร็จบ้านกาญจนา

เปิดใจป้ามล 4 ปัจจัยสู่สำเร็จบ้านกาญจนา

16 ก.ย. 2567
1700 views
ขนาดตัวอักษร

16 ก.ย.67 - “นักวิจัย” ชี้ผลวิจัยชัด เยาวชนทำความผิดซ้ำแค่ 6 % พบ 4 ปัจจัยสู่สำเร็จบ้านกาญจนา ไม่อาจพบได้ในระบบราชการปกติ แนะรัฐควรขยายแนวคิดมากกว่าสกัดกั้น 


มูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล อดีตเยาวชนศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก จัดเสวนา “เปิดใจป้ามล และงานวิจัยบ้านกาญจนาภิเษก...ไปต่อหรือพอแค่นี้” ภายหลังกองทรัพยากรบุคคลกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน แจ้งว่า งบประมาณในปี 2568 มีการตัดตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านเด็กและเยาวชนออก ความหมายคือต้องยุติการทำหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกฯ บ้านกาญจนาภิเษกคนนอกออก คือนางทิชา ณ นคร ออกนั้น ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และมีข้อกังวลในสังคมอย่างกว้างขวาง


นางทิชา ณ นคร (ป้ามล) กล่าวว่า ก่อนปี 2546 คุณหญิงจันทนี สันตะบุตร ผู้พิพากษาสมทบในขณะนั้นมีการศึกษาข้อมูลเชิงประจักษ์พบว่า เยาวชนที่ถูกจับกุมเข้าสถานพินิจมีการกระทำผิดซ้ำสูงมาก จึงร่วมกับคณะทำงานประกอบด้วย นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีกรมพินิจฯ คนแรก นายธวัชชัยไทยเขียว ปัจจุบันเป็นคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) และผู้ระดมทุนสร้างบ้านกาญจนาภิเษก ตนในฐานะผู้อำนวยการบ้านกาญจนาภิเษก คนนอก ซึ่งได้รับมอบหมายให้หาเครื่องมือลดการกระทำผิดซ้ำ ซึ่งหลังมีการปรับวิธีการ นวัตกรรมการดูแลเด็กเยาวชนที่เข้ามายังบ้านกาญจนาฯ พบว่า เยาวชนที่กระทำผิดและถูกปล่อยจากบ้านกาญจนาภิเษกกระทำผิดซ้ำน้อยและเป็นผู้รอดกว่า 90 – 95%

กว่า 20 ปี ของการทำงาน การใช้นวัตกรรมลดการทำผิดซ้ำของเยาวชนที่ก้าวพลาดและเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในชื่อกลุ่มผู้ถูกเจียระไนหรือผู้รอดการเปลี่ยนเส้นทางสู่เป้าหมายร่วมของอธิบดีฯ เสมือนไม่รับรู้ ไม่ยอมรับการมีอยู่ของเป้าหมายร่วมไม่มีการขยายผลทั้งที่เป็นพันธกิจขององค์กร ของรัฐบาล”

นายอรุณฉัตร คุรุวาณิชย์ นักวิจัยและผู้บริหารไลฟ์ เอ็ดดูเคชั่น ไทยแลนด์ กลาวว่า ข้อมูลจากการวิจัยประเมินผลเพื่อแสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence Based Evaluation) ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนผู้เคยกระทำความผิด ที่ผ่านกระบวนการ “วิชาชีวิต” ของศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก พ.ศ. 2561 โดยไลฟ์ เอ็ดดูเคชั่น (ประเทศไทย) พบว่ากระบวนการทำงานของบ้านกาญจนาฯ ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมอยู่ใน “ขั้นสิ้นสุด” ตามแนวคิดขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Transtheoretical model : TTM) ซึ่งสอดคล้องกับสถิติเด็กที่ผ่านกระบวนการของบ้านกาญจนาภิเษกมีแนวโน้มในการกระทำความผิดซ้ำน้อยกว่า 6% ดังนั้นจึงชัดเจนว่าเป็นกระบวนการที่ช่วยปกป้องสังคมและส่งคืนพลเมืองเข้มแข็งกลับคืนสู่สังคมได้จริง 

ทั้งนี้ ปัจจัย 4 ประการของความสำเร็จเหล่านี้คือ 1. ผู้อำนวยการฯ การมีผู้อำนวยการที่มีความเข้าใจในการพัฒนามนุษย์ด้วยกระบวนการฟื้นฟู มีทักษะการพัฒนานวัตกรรม และมีบุคลิกที่ไว้วางใจได้ 2. รูปแบบกระบวนการ การมีกระบวนการวิชาชีวิตที่สามารถทำสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรม และส่งเสริมสุขภาวะเด็ก และเยาวชนได้ โดยเฉพาะด้านกระบวนการรู้คิด ซึ่งเยาวชนที่ผ่านกระบวนการตอบสนองต่อการอธิบายที่เป็นเหตุผล และการควบคุมตนเองในการแสดงออกเชิงพฤติกรรมมีสูงขึ้น มองเห็นเหตุปัจจัยทางสังคมที่เกาะเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง รวมไปถึงการปรับทัศนะที่มีต่อการกระทำของครอบครัว ที่มีต่อตนเอง 3.สภาวะแวดล้อม ด้วยหลักคิดควบคู่กับหลักปฏิบัติของบ้านกาญจนาภิเษก ที่มุ่งเน้นการเปิดโอกาสให้เยาวชนร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ นำสู่กำหนดกติกาหรือข้อตกลงในการใช้ชีวิตร่วมกัน บนฐานความเชื่อว่าวัยรุ่นไม่ปฏิเสธเนื้อหาสาระที่ผู้ใหญ่หยิบยื่นให้แต่พวกเขาต้องการ และ 4. ปัจจัยเชิงโครงสร้าง และการสนับสนุน การทำกระบวนการภายในบ้านกาญจนาภิเษก ทั้งการสนับสนุนปกติจากกรมพินิจฯ การใช้งบประมาณจากมูลนิธิชนะใจเพื่อมาใช้ทำงานในกิจกรรมสำคัญแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายตามระบบได้ ทำให้การขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการหลายกิจกรรมสามารถทำได้ด้วยความราบรื่น

“ทั้ง 4 ปัจจัยข้างต้นนี้ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ภายใต้ระบบ ระเบียบราชการแบบปกติ ที่มีความแข็งตัว และไม่สอดคล้องกับปัจจัยข้างต้น ดังนั้นการขยายผลการทำงานของบ้านกาญจนาภิเษกหลังจากนี้จำเป็นต้องออกแบบโครงสร้างทางกฎหมายมารองรับการทำงานที่ได้ผลและสอดคล้องกับปัจจัยข้างต้น เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการทำงานระยะยาว รวมไปถึงการต่อยอดนวัตกรรม หลักคิดสู่บริบทของบ้านหลังคำพิพากษา และพื้นที่ต้นน้ำอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ”


ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ด้วยงานวิจัยจะเห็นว่างานสร้างมนุษย์เป็นการสร้างคุณูปการแก่ประเทศไทย เพราะการที่ทำให้มนุษย์คนหนึ่งสามารถกลับมาเห็นคุณค่าของตัวเอง เขาก็จะเห็นคุณค่าของตัวเองต่อครอบครัวและสังคม และประเทศที่เขาอยู่ น้องๆที่ทำความผิดไม่ว่าจะผ่านอะไรมาแต่ก็ยังเชื่อมั่นว่าคนเหล่านั้นยังมีคุณค่าที่จะพัฒนาตัวเองต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่จะนำไปพัฒนาประเทศในอนาคต และสิ่งที่นางทิชาทำไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงคน แต่เปลี่ยนความเชื่อ วิธีคิดของคนว่ามนุษย์สามารถผิดพลาดได้ แต่ก็สามารถเติบโตได้ ด้วยการให้ความสำคัญกับด้านบวกในจิตใจ ส่วนตัวเคยฟังนางพิชาพูดถึงการทำงานของเด็ก ก็ทำให้เปลี่ยนแนวคิดจากที่เคยมองเด็กที่ทำผิดว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้น แต่หลังจากนั้นก็เปลี่ยนความคิดว่าเด็กไม่ได้อยากจะทำผิด แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่ให้ทำเป็นเช่นนั้น ทำให้เราเห็นว่ามนุษย์คนหนึ่งมีทั้งด้านดี ด้านมืดและด้านสว่าง เมื่อไหร่ที่เราเชื่อมั่นว่ามนุษย์ได้รับการพัฒนาด้านสว่างแล้วก็จะเจอคำตอบ 

หลังฟังแล้วจึงหาทางเข้าไปในบ้านกาญจนาภิเษก และได้คุยกับเด็กที่กระทำผิดซ้ำหลายครั้ง จากเดิมที่มีความคิดเกี่ยวกับคนกระทำผิดอีกรูปแบบหนึ่ง กลับมีความรู้สึกเหมือนได้คุยกับประธานนักเรียนคนหนึ่งมีการมองอะไรได้ดี ฉลาด และพูดได้ดี แต่กว่าจากที่เราจะเห็นเขาในรูปแบบนี้ แปลว่า เขาผ่านกระบวนการความเชื่อมั่นว่ามนุษย์มีด้านที่เติบโตได้ในจิตใจ ที่ต้องอาศัยพลังงานในการทำตรงนี้มาก ขณะที่นางทิชาเหมือนคนนั่งรดน้ำพรวนดินต้นไม้ที่ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะงอกขึ้นมาได้หรือไม่ แต่นางทิชากลับเชื่อว่านี่คือต้นไม้ใหญ่ที่สามารถเติบโตและเป็นที่พักพิงให้กับผู้อื่นได้ ซึ่งต้องอาศัยพลังและคุณค่า 

ตนส่งนักศึกษาแพทย์ และแพทย์ประจำบ้าน เข้าไปศึกษาดูงานที่บ้านกาญจนาฯ ทุกปี นักศึกษากลับมา ยืนยันว่าเป็นสถานที่ที่สามารถเปลี่ยนแนวคิด มุมมองที่มีต่อเด็กและวัยรุ่นที่กระทำผิด ดังนั้นเรา เชื่อว่านี่เป็นกระบวนการที่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงเด็กที่ก้าวพลาด แต่เป็นกระบวนการในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้เข้าใจว่าเราต่างคนต่างมีหลายด้าน การที่เด็กคนหนึ่งมีปัญหาอะไรก็อยู่ที่สภาพแวดล้อมด้วย และล่าสุดพาลูกสาวไปในงานวันสัติภาพที่มีการขอขมาเหยื่อ ลูกถามว่าทำไมคุกไม่มีรั้ว ซึ่งเรายังไม่ทันตอบเนื่องจากต้องทำกิจกรรมต่อเนื่อง แต่หลังออกจากการทำกิจกรรม ลูกก็ตอบว่ารู้แล้วว่าทำไมถึงไม่มีรั้ว เพราะเด็กๆ มีความเชื่อมั่นต่อนางทิชา และตัวเอง ขนาดเด็ก 10 ขวบยังรู้ ดังนั้นสิ่งที่นางทิชาทำอยู่เป็นการสร้างจิตวิญญาณ ของเด็กๆ และสร้างจิตวิญญาณของคนที่ทำงานกับเด็กทุกๆ คน 


ที่ตัวเลขงานวิจัยชี้ชัด ตัวเลขผู้ทำความผิด ซ้ำจาก 50% ก็ลดลงมาเหลือไม่ถึง 5-6% ทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงไม่ถูกขยายต่อ

อ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ..คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เขียนเลย
Terms of Service © 2018 MCOT.net All rights reserved นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล